บทที่ 2 ความน่าเชื่อถือของข้อมูล

 

หน่วยการเรียนรู้ที่ 2

ความน่าเชื่อถือของข้อมูล

1. การสืบค้นเพื่อหาแหล่งข้อมูล

ในปัจจุบันการได้มาซึ่งข้อมูลในยุคดิจิทัลเพื่อนำไปใช้ประโยชน์นั้น สิ่งสำคัญสิ่งหนึ่ง คือ ความน่าเชื่อถือของข้อมูล ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อคุณภาพของข้อมูล หากข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้ไม่มีความเชื่อถือ ก็ไม่สามารถนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยความเชื่อถือของข้อมูลจำเป็นต้องเริ่มจากการสืบค้นเพื่อหาแหล่งข้อมูลที่มีคุณภาพ จากนั้นจึงดำเนินการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลไปตามลำดับ

การสืบค้นแหล่งข้อมูล คือ กระบวนการค้นหาข้อมูลที่ต้องการ โดยใช้เครื่องมือต่าง ๆ เช่นคอมพิวเตอร์ การสืบค้นเพื่อหาแหล่งข้อมูลสามารถทำได้ ดังนี้

1. การสืบค้นข้อมูลด้วยมือ เป็นการสืบค้นข้อมูลจากเอกสาร หนังสือ ตำรา โดยสามารถสืบค้นจากสถานที่ หรือหน่วยงานที่จัดเตรียมข้อมูลต่าง ๆ ไว้ให้ เช่น ห้องสมุดในโรงเรียน เอกสารแผ่นพับแนะนำข้อมูลด้านสุขภาพในโรงพยาบาล

2. การสืบค้นข้อมูลด้วยระบบคอมพิวเตอร์ เป็นการสืบค้นข้อมูลผ่านเทคโนโลยีหรืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เช่น การสืบค้นข้อมูลจากระบบฐานข้อมูล ข้อมูลออนไลน์ ข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตข้อมูลจากโปรแกรมค้นหา (Search Engine)

1.1 ตัวอย่างการสืบค้นเพื่อหาแหล่งข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต

การสืบค้นข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต เป็นวิธีการสืบค้นด้วยระบบคอมพิวเตอร์ที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นแหล่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญและใหญ่ที่สุด มีการอัปเดตอยู่ตลอดเวลาแทบทุกวินที การสืบค้นข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตควรดำเนินการ ดังนี้

กำหนดวัตถุประสงค์ของการสืบค้น

ผู้สืบค้นที่จะนำข้อมูลไปใช้ควรตั้งวัตถุประสงค์การสืบค้นให้ชัดเจน ทำให้สามารถกำหนดขอบเขตของแหล่งข้อมูลที่จะสืบค้นให้แคบลง เพื่อกำหนดประเภทของเครื่องมือ หรือโปรแกรมสำหรับใช้ในการสืบค้นทางอินเทอร์เน็ตที่เรียกว่า โปรแกรมค้นหา ให้เหมาะสม

ประเภทของข้อมูลที่สามารถสืบค้นได้

ข้อมูลที่อยู่บนอินเทอร์เน็ต มีมากมายหลายประเภท เช่น ข้อความ ภาพวาด ภาพถ่าย เสียง จากเทคโนโลยีการสืบค้นที่มีอยู่ในปัจจุบัน การสืบค้นที่เร็วและมีประสิทธิภาพมากที่สุด คือ การสืบค้นข้อมูลประเภทข้อความ

อุปกรณ์และความรู้ที่ใช้ในการสืบค้น

จะต้องมีการเตรียมอุปกรณ์ ดังต่อไปนี้ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตนอกจากอุปกรณ์ต่าง ๆ ยังต้องมีความรู้และทักษะพื้นฐานในการใช้งานคอมพิวเตอร์ ความรู้ภาษาอังกฤษ เนื่องจากข้อมูลส่วนใหญ่ในอินเทอร์เน็ตเป็นภาษาอังกฤษ และยังต้องมีการจัดสรรเวลาให้เหมาะสมอีกด้วย

บริการอินเทอร์เน็ต

เป็นบริการที่สามารถใช้ช่วยในการสืบค้นข้อมูลซึ่งมีมากมายหลายบริการ เช่น บริการเครือข่ายใยแมงมุมโลก หรือ Word-Wide-Web (WWW) บริการสอบถามผ่านทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์หรือการสนทนาออนไลน์กับผู้ใช้งาน

เครื่องมือหรือโปรแกรมสำหรับสืบค้น

มีอยู่มากมายและมีให้บริการอยู่ตามเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่ให้บริการในการสืบค้นข้อมูลโดยเฉพาะการเลือกใช้นั้นขึ้นอยู่กับประเภทของข้อมูลที่ต้องการสืบค้นจากโปรแกรมค้นหาต่าง ๆ

ในประเทศไทยการเรียนการสอนเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต ส่วนใหญ่เป็นไปในลักษณะของการเปิดอบรมหลักสูตรระยะสั้นให้แก่สมาชิกเครือข่าย หรือประชาชนผู้สนใจทั่วไปแต่จะมีสถาบันการศึกษาหลายแห่งได้จัดให้มีการเรียนการสอนเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตโดยจัดให้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษารายวิชาต่าง ๆ ให้แก่นักศึกษา ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการที่จะนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการค้นคว้าวิจัย หรือทำรายงานในรายวิชาต่าง ๆ และเป็นการเรียนรู้ด้วยตนเอง

1. ประโยชน์และโทษของอินเทอร์เน็ต อินเทอร์เน็ตเป็นเทคโนโลยีการสื่อสารที่อำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการ ในลักษณะของการสื่อสารที่ผ่านทางคอมพิวเตอร์ จึงทำให้เกิดทั้งประโยชน์และโทษในการสื่อสารบนอินเทอร์เน็ต

ประโยชน์ของอินเทอร์เน็ต มีหลากหลายลักษณะตามการใช้งาน ทั้งการติดต่อสื่อสารและการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ดังนี้

 

โทษของอินเทอร์เน็ต มีหลากหลายลักษณะทั้งที่เป็นแหล่งข้อมูลที่เสียหาย ข้อมูลไม่ดีไม่ถูกต้อง เป็นที่รวมและกระจายของไวรัสคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ดังนี้


2. คุณธรรมและจริยธรรมในการใช้อินเทอร์เน็ต เนื่องจากอินเทอร์เน็ตเป็นระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ที่เกิดจากการเชื่อมต่อเครือข่ายขนาดเล็กจำนวนมากเข้าด้วยกัน เมื่อมีระบบเครือข่ายเกิดขึ้นจะทำให้สามารถสื่อสารกับผู้อื่นผ่านทางระบบเครือข่ายได้ แต่สิ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยในการที่เราจะอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างสงบสุข คือ มารยาทและกฎกติกาของสังคม ดังนั้น จึงจำเป็นจะต้องรู้จักกฎ กติกา มารยาท และคุณธรรม และจริยธรรมในการใช้อินเทอร์เน็ต เพื่อเป็นการให้เกียรติและไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น สำหรับคุณธรรมและจริยธรรมในการใช้อินเทอร์เน็ตที่ควรปฏิบัติ มีดังนี้

1) ใช้ถ้อยคำที่สุภาพในการสื่อสาร และการใช้งานบนอินเทอร์เน็ต

2) หากพบข้อความหรือรูปภาพบนอินเทอร์เน็ตที่มีลักษณะหยาบคายหรือไม่เหมาะสมควรแจ้งให้ผู้ปกครองทราบทันที

3) ไม่ใช้อินเทอร์เน็ตในการละเมิดสิทธิของผู้อื่น เช่น พยายามเข้าถึงข้อมูลของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต การคัดลอกข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต

4) ไม่บอกข้อมูลส่วนตัว เช่น ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ชื่อโรงเรียนของตนให้แก่บุคคลอื่น ที่รู้จักกันทางอินเทอร์เน็ต โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองก่อน

5) ไม่ใช้อินเทอร์เน็ตทำลายผู้อื่น เช่น การเผยแพร่ซอฟต์แวร์ประเภทไวรัสไปยังผู้อื่น

6) ไม่ใช้อินเทอร์เน็ตหลอกลวงผู้อื่น เช่น การสนทนาผ่านเครือข่ายเพื่อการหลอกลวง

7) ไม่ใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ เช่น การเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง การเผยแพร่ข้อมูลจากแหล่งที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ

8) ควรเคารพต่อข้อตกลงในการใช้อินเทอร์เน็ตที่ให้ไว้กับผู้ปกครอง เช่น กำหนดระยะเวลาในการใช้อินเทอร์เน็ตหรือเว็บไซต์ที่ผู้ปกครองอนุญาตให้เข้าได้

9) ใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตในทางที่ถูกต้อง เช่น การสืบค้นข้อมูลทางด้านการศึกษาเพื่อหาความให้รู้เท่าทันเทคโนโลยีหรือสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ โดยงดเว้นการใช้งานอินเทอร์เน็ตในทางที่ผิด เช่น การเข้าเว็บไซต์ที่ผิดศีลธรรม ผิดกฎหมาย

3. เครื่องมือสำหรับสืบค้นข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต คือ เครื่องมือที่ใช้สำหรับสืบคันข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต โดยโปรแกรมค้นหาจะทำการสืบค้นข้อมูลจากคำสำคัญ (Keyword) และทำการแสดงผลลัพธ์การสืบค้นแบบเรียงลำดับ ซึ่งจะเรียงลำดับเว็บไซต์ที่เผยแพร่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคำสำคัญดังกล่าว โดยเว็บไซต์ที่นิยมในปัจจุบัน เช่น www.google.com, www.yahoo.com, www.bing.com ประเภทของโปรแกรมค้นหาสามารถแบ่งตามลักษณะการทำงานได้ 3 ประเภท ดังนี้

ประเภทที่ 1 Crawler Based Search Engines

Crawler Based Search Engines คือ เครื่องมือการค้นหาบนอินเทอร์เน็ตแบบอาศัยการบันทึกข้อมูลและจัดเก็บข้อมูลเป็นหลัก ซึ่งการจัดเก็บข้อมูลนั้นจะใช้ซอฟต์แวร์ขนาดเล็กที่เรียกว่า Web Crawler เพื่อทำการเก็บข้อมูลจากเว็บไซต์ต่าง ๆ แล้วส่งข้อมูลเหล่านั้นไปบันทึกยังฐานข้อมูลของโปรแกรมค้นหา ซึ่งโปรแกรมคันหาประเภทนี้ เป็นประเภทที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน เนื่องจากให้ผลการค้นหาที่แม่นยำ และการประมวลผลการสืบค้นสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว ตัวอย่างโปรแกรมค้นหาประเภทนี้ เช่น www.google.com, www.yahoo.com, www.bing.com

ประเภทที่ 2 Web Directory หรือ Blog Directory

Web Directory หรือ Blog Directory คือ สารบัญเว็บไซต์ที่ถูกจัดเก็บโดยเว็บไซต์ที่ไห้บริการ Web Directory และการจัดเก็บนั้นจะแบ่งข้อมูลออกเป็นหมวดหมู่ ซึ่งจะมีการสร้างดรรชนี มีการระบุหมวดหมู่อย่างชัดเจนทำให้การสืบค้นข้อมูลทำได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากข้อมูลถูกกำหนดหมวดหมู่ไว้แล้ว แต่โปรแกรมค้นหาประเภทนี้เหมาะสำหรับการสืบค้นข้อมูลที่เฉพาะด้าน หรือเฉพาะเจาะจงในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพราะในปัจจุบันข้อมูลในอินเทอร์เน็ตมากมายมหาศาล ในหลาย ๆ กรณี Web Directory ไม่สามารถจัดเก็บหมวดหมู่ข้อมูลที่มีมหาศาลนี้ได้อย่างครบถ้วน แต่หากเป็นข้อมูลเฉพาะด้าน เช่น ข้อมูลด้านการเขียนชุดดำสั่งโปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ เว็บไซต์ที่ให้บริการ Web Directory จะจัดเก็บข้อมูลได้สะดวกกว่า โดยเว็บไซต์ที่ให้บริการ

Web Directory ที่ใหญ่ที่สุดและเป็นที่นิยม คือ https:/dmoz-odp.org

ประเภทที่ 3 Meta Search Engine

Meta search Engine คือ โปรแกรมค้นหาที่ใช้หลักการสืบค้นข้อมูลด้วย Meta Tag ซึ่งเป็นกลุ่มคำสั่งในภาษา HTML ประเภท HyperText Markup Language ซึ่งเป็นโปรแกรมภาษาสำหรับใช้ในกาสร้างเว็บไซต์ กลุ่มคำสั่ง Meta Tag นี้จะมีการกำหนดรายละเอียดต่าง ๆ ของเว็บไซต์ เช่น ชื่อเว็บไซต์ตัวชื่อผู้แต่ง คำสำคัญของเว็บไซต์ รายละเอียดอย่างย่อของเว็บไซต์ โดยผลลัพธ์การสืบค้นข้อมูลด้วยโปรแกรมค้นหาประเภทนี้จะมีความแม่นยำน้อยกว่าโปรแกรมค้นหาประเภทอื่น เนื่องจากผู้พัฒนาเว็บไซต์อาจกำหนดข้อมูลใน Mea Tag ไม่ครบถ้วน ไม่ถูกต้อง หรือไม่ตรงกับเนื้อหาในเว็บไซต์นั่นเอง เว็บไซต์ที่ให้บริการ Meta Search Engine เซ่น http://askjeeves.com, http://www.debriefing.com,

1.2 ขั้นตอนการสืบค้นเพื่อหาแหล่งข้อมูลด้วยอินเทอร์เน็ต

การสืบค้นข้อมูลจากระบบอินเทอร์เน็ต เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีคุณภาพ มีความน่าเชื่อถือ และตรงตามความต้องการของผู้สืบค้น ซึ่งข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ขนาดมหาศาลและมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น ในการสืบค้นข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตเพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีคุณภาพ จะมีรายละเอียด ดังนี้

1. การสืบค้นข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต มี 4 ขั้นตอน ดังนี้

1) กำหนดวัตถุประสงค์และหัวข้อการสืบค้นให้ชัดเจน ผู้สืบค้นที่จะนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ควรตั้งวัตถุประสงค์และกำหนดหัวข้อการสืบค้นที่ชัดเจน เพื่อให้สามารถกำหนดขอบเขตของแหล่งข้อมูลที่จะสืบค้นให้เหมาะสม ไม่กว้างจนเกินไป เช่น หากต้องการสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับการสอนโปรแกรมภาษไพทอน (Python Programming) ควรกำหนดวัตถุประสงค์ของการสืบค้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์เป็นข้อมูลที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการสอนโปรแกรมภาษาไพทอนเป็นลำดับแรกโดยให้ความสำคัญกับข้อมูลลักษณะการขาย การอบรมโปรแกรมภาษาไพทอน หรือการขายเครื่องมือสำหรับการสร้างชุดคำสั่งภาษาไพทอนเป็นลำดับรอง และกำหนดประเภทของเครื่องมือหรือโปรแกรมสำหรับการสืบค้นทางอินเทอร์เน็ตที่เรียกว่า โปรแกรมค้นหา ซึ่งมีเว็บไซต์เพื่อการสืบค้นที่นิยมในปัจจุบัน เช่น www.google.com, www.yahoo.com, www.bing.com ทั้งนี้ เพื่อให้ผลการสืบค้นข้อมูลตรงตามความต้อการและมีความเชื่อถือมากที่สุด จึงต้องมีการค้นคว้าจากหลายแหล่งข้อมูลเพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ

2) กำหนดประเทของข้อมูลที่จะสืบค้น ข้อมูลสารสนเทศที่อยู่บนอินเทอร์เน็ตมีหลากหลายประเภท เช่น ข้อความ (Text) ภาพ (Image) เสียง (Sound) ภาพเคลื่อนไหว (Animation) วีดีทัศน์ (Video) ซึ่งเทคโนโลยีการสืบค้นข้อมูลในปัจจุบันสามารถสืบค้นข้อมูลดังกล่าวได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น ผู้สืบค้นควรกำหนดประเภทข้อมูลที่ต้องการสืบค้นให้ชัดเจนเพื่อลดเวลาการสืบค้น และเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ตรงตาความต้องการ ไม่หลากหลายจนเกินไป เช่น หากต้องการสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับการสอนโปรแกรมภาษาไพทอน อาจกำหนดประเภทข้อมูลผลลัพธ์ที่ได้จากการสืบค้น โดยเลือกเฉพาะข้อความ ภาพ หรือวีดีทัศน์ อีกทั้งการกำหนดประเภทของข้อมูลที่จะสืบค้นนั้น ผู้สืบค้นจำเป็นต้องคำนึงถึงการไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ข้อมูล หรือการไม่ละเมิดสิทธิของเจ้าของแหล่งข้อมูลอีกด้วย

3) กำหนดคำสำคัญสำหรับสืบค้นข้อมูล (Keyword) เนื่องจากโปรแกรมค้นหามีลักษณะการทำงาน คือ การแสดงผลการสืบค้นจากคำสำคัญที่กำหนด เช่น หากต้องการสืบค้นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการสอนโปรแกรมภาษาไพทอน (Python Programming) สามารถกำหนดคำสำคัญได้ ดังนี้ สอนภาษาไพทอน โครงสร้างภาษาไพทอน หรือ Python Programming Tutorial

4) ประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่ได้จากการสืบค้น คือ กระบวนการคัดแยกโดยเลือกเฉพาะข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ เนื่องจากข้อมูลที่ได้จากการสืบค้นมีหลากหลายประเภทและมาจากหลากหลายแหล่ง ดังนั้น ผู้สืบค้นจำเป็นต้องประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล เพื่อให้ได้เฉพาะข้อมูลที่ความน่าเชื่อถือ ถูกต้อง และมีคุณสำหรับการนำไปใช้ประโยชน์

2. เทคนิคการสืบค้นด้วย Googl.com เบื้องต้น โดยทั่วไปผู้สืบค้นจะทำการค้นหาข้อมูลจากการกำหนดคำสำคัญเป็นหลัก แต่ Google สามารถสืบค้นด้วยวิธีการต่าง ๆ เพิ่มเติม เพื่อไห้ได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น ดังนี้

1 การเชื่อมคำด้วยการใช้เครื่องหมายบวก (+) จะทำให้ Google ให้ความสำคัญกับคำสำคัญที่ใช้ในการค้นหาข้อมูลมากขึ้น เช่น หกต้องการสืบค้นเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการสอนโปรแกรมภาษไพทอน ผู้สืบค้นสามารถกำหนดคำสำคัญได้ ดังนี้ สอน+ภาษา+ไพทอน ซึ่ง Google จะทำการสืบค้นเว็บไซต์ที่มีคำว่า สอน ภาษา และไพทอนที่อยู่ในเนื้อหาของเว็บไซต์และนำมาแสดงเป็นผลลัพธ์

2) การตัดคำที่ไม่ต้องการด้วยการใช้เครื่องหมายลบ () หากผู้สืบค้นไม่ต้องการให้ Google สืบค้นเว็บไซต์ที่มีคำสำคัญที่ผู้สืบค้นไม่ต้องการอยู่ในข้อมูล ผู้สืบค้นสามารถใช้เครื่องหมายลบในคำสำคัญที่ต้องการสืบค้น เช่น ถ้าผู้สืบค้นต้องการค้นหาเว็บไซต์ที่มีข้อมูลเกี่ยวกับการสอนโปรแกรมภาษาไพทอน แต่ไม่ต้องการข้อมูลเกี่ยวกับการขายหลักสูตรอบรม ผู้สืบค้นสามารถกำหนดคำสำคัญ ดังนี้ สอนภาษาไพทอน-หลักสูตรอบรม

3) การค้นหากลุ่มคำสำคัญด้วยการใช้เครื่องหมายอัญประกาศ ("...") เหมาะสำหรับการสืบค้นด้วยคำสำคัญที่มีลักษณะเป็นประโยด วลี หรือกลุ่มคำที่ผู้สืบคันต้องการให้แสดงผลทุกคำในประโยค โดยไม่แยกคำและเรียงลำดับคำตามลำดับในคำสำคัญ เช่น ถ้าผู้สืบค้นต้องการหาเว็บไซต์ที่มีข้อมูลเกี่ยวกับการสอนโปรแกรมภาษาไพทอน ผู้สืบค้นสามารถกำหนดคำสำคัญสำหรับสืบค้น ดังนี้ "สอน ภาษา ไพทอน"

4) การค้นหาข้อมูลเพิ่มมากขึ้นด้วยการใช้คำว่า OR เป็นการสั่งให้ Google ค้นหาข้อมูลเพิ่มมากขึ้น เช่น ถ้าผู้สืบค้นต้องการค้นหาเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับภาษาไพทอน ทั้งที่เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ให้ผู้สืบค้นพิมพ์คำสำคัญว่า ไพทอน ภาษาไทย OR ภาษาอังกฤษ Google จะทำการค้นหาเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับภาษาไพทอน ทั้งที่เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ

2. การประเมินความน่าเชื่อถือ

ข้อมูลที่ได้จากการสืบค้นนั้น โดยทั่วไปมักมีจำนวนความถูกต้องและความน่าเชื่อถือ ดังนั้น การนำข้อมูลสารสนเทศดังกล่าวไปใช้ประโยชน์จำเป็นต้องมีการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล เพื่อคัดแยกหรือเลือกเฉพาะข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ มีความถูกต้อง และตรงตามความต้องการ เพื่อให้สามารถนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป

2.1 หลักการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล

เป็นขั้นตอนในการประเมินเพื่อคัดเลือกข้อมูลที่ได้จากการสืบค้นที่มีคุณค่า มีความ่าเชื่อถือในทางวิชาการ เป็นการพิจารณาคัดเลือกจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งจากการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลจะทำให้เราได้ข้อมูลที่มีคุณค่าและนำไปประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสม ซึ่งหลักการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล มีดังนี้

1. ประเมินความตรงตามความต้องการของข้อมูล หลักการนี้เป็นหลักการพื้นฐานที่ควรกระทำก่อนการคัดแยก เพื่อเลือกเฉพาะข้อมูลที่ตรงตามความต้องการเท่านั้น โดยจะพิจารณาว่าข้อมูลที่ได้จกการสืบค้นนั้นตรงตามความต้องการของผู้สืบค้นหรือไม่ หากไม่ตรงทั้งหมดสามารถเลือกเฉพาะส่วนที่ตรงกับความต้องการได้หรือไม่ หรือเนื้อหาโดยรวมค่อนข้างตรงแต่สามารถตัดส่วนที่ไม่ตรงกับความต้องการได้หรือไม่ ซึ่งวิธีการที่นิยมใช้ คือ การอ่านเบื้องต้นได้แก่ การอ่านชื่อเว็บไซต์ ชื่อเว็บเพจ ชื่อหัวเรื่อง คำนำ หน้าสารบัญ หรือเนื้อหาในเว็บไซต์เพื่อพิจารณาว่า มีความสอดคล้องและตรงตามความต้องการของผู้สืบค้นหรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่สามารถประเมินได้ตั้งแต่ชื่อเว็บไซต์ ชื่อเว็บเพจ หรือชื่อหัวเรื่องในเว็บเพจ

2. ประเมินความเชื่อถือและความทันสมัยของข้อมูล หลักการนี้จะพิจารณาว่าเป็นข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือหรือไม่ ซึ่งการประมินความน่าเชื่อถือมีรายละเอียดที่ควรพิจารณา ดังนี้

1) ประเมินความเชื่อถือของแหล่งข้อมูล โดยพิจารณาว่าข้อมูลนั้นได้มาจากแหล่งใด ซึ่งโดยส่วนมากแหล่งข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือนั้นจะเป็นสถาบันหรือองค์กรที่มีความน่าเชื่อถือ เช่น ห้องสมุดโรงเรียน เนื่องจากข้อมูลที่อยู่ในห้องสมุดได้ผ่านกระบวนการกลั่นกรองเนื้อหาจากบรรณารักษ์และผู้ที่เกี่ยวข้องแล้วเอกสารด้านสุขภาพจากโรงพยาบาลที่มีความน่าเชื่อถือ เนื่องจากโรงพยาบาลเป็นองค์กรที่มีความเชี่ยวชาญด้านสุขภาพ

แหล่งข้อมูลในอินเทอร์เน็ตจำเป็นต้องพิจารณาว่าเป็นเว็บไซต์ขององค์กรที่มีความน่าเชื่อถือหรือไม่ โดยดูจากผลงานที่ผ่านมา หรือเป็นหน่วยงาน องค์กร สถาบันของรัฐ

2) ประเมินความน่าเชื่อถือของทรัพยากรข้อมูล โดยพิจารณาว่า ทรัพยากรข้อมูลหรือข้อมูลนั้น ๆ เป็นรูปแบบใด เช่น สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อไม่ตีพิมพ์ หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ และหากเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ เป็นสิ่งพิมพ์ประเภทใด เช่น หนังสือทั่วไป หนังสืออ้างอิง วารสาร นิตยสาร

3) ประเมินความน่าเชื่อถือของผู้เขียน ผู้จัดทำ สำนักพิมพ์ โดยพิจารณาว่าผู้เขียนมีคุณวุฒิ ความรู้ความสามารถและประสบการณ์ตรงหรือสอดคล้องกับเรื่องที่เขียนหรือไม่ (โดยผู้เขียน หมายรวมถึงผู้สร้างเนื้อหาในเว็บไซต์หรือสื่ออื่น ๆ ในอินเทอร์เน็ต เช่น สื่อสังคมออนไลน์) รวมทั้งความนำเชื่อถือของผู้จัดทำ สำนักพิมพ์ หรือองค์กรที่จัดทำเว็บไซต์ที่มีประสบการณ์ในเนื้อหาเฉพาะด้าน หน่วยงานผู้รับผิดชอบของทางภาครัฐ องค์กร สมาคมมักจะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าหน่วยงานภาคเอกชนหรือบุคคลตัวอย่าง เช่น กรณีที่เป็นเว็บไซต์หรือสื่อสังคมออนไลน์ ให้พิจารณาว่าผู้เขียน ผู้จัดทำเว็บไซต์ องค์กรเจ้าของเว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือ มีชื่อเสียงในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในเว็บไซต์ หรือเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายหรือไม่

4) ประเมินความทันสมัยของข้อมูล โดยหากเป็นสื่ออิเล็กทรอนิกส์หรือสื่อที่อยู่บนอินเทอร์เน็ต เช่น เว็บไซต์ สื่อสังคมออนไลน์ ควรพิจารณาวันเดือนปี ที่ข้อมูลถูกเผยแพร่ในเว็บไซต์หรือสื่อสังคมออนไลน์ดังกล่าว หากเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ควรพิจารณาความทันสมัยจากวันเดือนปีที่พิมพ์

3. ประเมินระดับเนื้อหาของข้อมูล มี 3 ระดับ ดังนี้

ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Information) มีความน่าเชื่อถือมากที่สุด เนื่องจากเป็นข้อมูลที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าโดยตรงของผู้เขียนและมีการเผยแพร่เป็นครั้งแรก เช่น เว็บไซต์จากผู้เขียนเนื้อหารายงานการวิจัย วิทยานิพนธ์ สิ่งพิมพ์หรือเว็บไซต์ของรัฐบาล ข้อมูลประเภทนี้ถือว่ามีความน่าเชื่อถือสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้มากที่สุด เพราะเป็นข้อมูลจริงที่ได้จากผู้เขียน และยังไม่ได้ผ่านการ เรียบเรียงหรือปรับแต่งใหม่จากบุคคลอื่น

ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Information) เป็นการนำข้อมูลปฐมภูมิมาเขียน อธิบาย เรียบเรียงหรือวิจารณ์ใหม่ให้เข้าใจง่าย เพื่อให้เหมาะกับผู้ใช้งานหรือผู้สืบค้น อีกทั้งยังสามารถเป็นเครื่องมือช่วยติดตามข้อมูลปฐมภูมิอีกด้วย เช่น เว็บไซต์ที่นำเนื้อหาจากเว็บไซต์ต้นฉบับมาเรียบเรียงใหม่โดยมีการระบุแหล่งที่มาของเนื้อหาไว้ชัดเจน หนังสือบทความวารสาร บทคัดย่องานวิจัย บทวิจารณ์

ข้อมูลตติยภูมิ (Tertiary Information) เป็นข้อมูลที่การแนะนำแหล่งข้อมูลระดับปฐมภูมิและทุติยภูมิ ซึ่งข้อมูลตติยภูมิจะไม่ได้ให้เนื้อหาข้อมูลโดยตรง แต่เป็นการชี้แนะแหล่งข้อมูลปฐมภูมิและทุติยภูมิ เช่น แหล่งที่มาในเว็บไซต์ บรรณานุกรมเอกสารอ้างอิง ดรรชนีวารสาร วารสารสาระสังเขป

2.2 การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล

การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูลที่ได้จากการสืบค้นจากอินเทอร์เน็ตนั้นผู้สืบค้นสามารถประเมินความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูลได้ ดังนี้

·       เนื้อหาที่เผยแพร่ต้องตรงตามวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้ในเว็บไซต์

·       เนื้อหาในเว็บไซต์ต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย ศีลธรรมและจริยธรรม

·       สามารถเชื่อมโยง (Link) ไปยังเว็บไซต์อื่นที่อ้างถึงได้

·       มีการระบุชื่อผู้เขียนบทความหรือผู้ให้ข้อมูลบนเว็บไซต์

·       ระบุวัตถุประสงค์ในการสร้างหรือเผยแพร่ข้อมูลไว้ในเว็บไซต์

·       มีการอ้างอิงหรือระบุแหล่งที่มาของข้อมูลในเนื้อหาที่ปรากฏบนเว็บไซต์

·       มีการระบุวัน เวลา ในการเผยแพร่ข้อมูลบนเว็บไซต์ และการปรับปรุงข้อมูลครั้งล่าสุด

·       มีการเผยแพร่ช่องทางที่สามารถติดต่อผู้ดูแลเว็บไซต์ได้ เช่น ที่อยู่จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-mail address) สื่อสังคมออนไลน์ของเว็บไซต์

แหล่งข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ เมื่อเราต้องการข้อมูลเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในงานด้านต่าง ๆ เราสามารถนหาข้อมูลได้จากแหล่ข้อมูลต่าง ๆ ที่มีอยู่รอบตัว และควรเลือกค้นหาจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อน่าถือได้ ซึ่งมีลักษณะเป็นแหล่งที่มีการรวบรวมข้อมูลอย่างมีหลักเกณฑ์ มีเหตุผลและมีการอ้างอิง จึงจะได้ข้อมูลที่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ตัวอย่างแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ มีดังนี้

1. เจ้าของข้อมูล เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับข้อมูลนั้น ๆ สามารถให้ข้อมูลได้ถูกต้องตรงความเป็นจริงมากกว่าบุคคลอื่นที่รับฟังข้อมูลมาเผยแพร่ต่อ ซึ่งอาจมีความคลาดเคลื่อน หรืออาจแต่งเติม ทำให้ข้อมูลไม่ตรงกับข้อมูลต้นฉบับที่ได้รับ

2. องค์กรหรือผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เป็นองค์กรบุคคลที่ทำงานหรือศึกษาค้นคว้าในด้านใดด้านหนึ่ง ทำให้มีความรู้จากประสบการณ์ในการทำงานหรือการศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง จึงมีข้อมูลที่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ตัวอย่างเช่น หน่วยงานหรือผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ เป็นองค์กรของรัฐที่ให้ความรู้และพัฒนาเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์ของประเทศ

3. หน่วยงานของรัฐ เป็นหน่วยงานที่มีข้อมูลซึ่งมีผลต่อความเป็นอยู่ของประชาชนและการพัฒนาประเทศ เนื่องจากข้อมูลจากหน่วยงานของรัฐจะถูกนำไปใช้ในการกำหนดนโยบาย วางแผน ลงมือปฏิบัติงาน และใช้อ้างอิง จึงเป็นข้อมูลสำคัญที่ต้องมีการรวบรวมเก็บรักษา หรือสร้างข้อมูลขึ้นอย่างรอบคอบและระมัดระวัง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องตรงตาม ความเป็นจริงเสมอ

แหล่งข้อมูลที่ได้จากการสืบค้นเนื้อหา คือ เว็บไซต์ของศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกะทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยจะเห็นว่าแหล่งข้อมูลที่ได้จากการสืบค้นตรงตามวัตถุประสงค์ มีชื่อผู้แต่ง การระบุแหล่งอ้างอิง ระบุวันเวลาในการเผยแพร่จึงถือได้ว่าเป็นแหล่งข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ

2.3 การประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลโดยใช้ PROMPT

วิธีการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลโดยใช้ PROMPT หรือเรียกอีกอย่างว่า วิธีการประเมินโดยการตั้งคำถาม มี 6 ขั้นตอน ดังนี้

การนำเสนอ (Presentation) โดยจะต้องมีการตั้งคำถามก่อนที่จะนำข้อมูลเหล่านั้นมาประเมินผล เช่น ข้อมูลที่ได้มีความชัดเจนหรือไม่ ภาษาที่ใช้มีความถูกต้องหรือไม่

ความสัมพันธ์กัน (Relevance) คือ ข้อมูลที่มีเนื้อหาตรงกับความต้องการของผู้สืบค้น เช่น ข้อมูลที่หามาได้นั้นอาจจะมีรายละเอียดมากเกินไป หรือน้อยเกินไปไม่ตรงตามความต้องการ ไม่มีจุดเน้นหรือคำสำคัญที่ต้องการ

วัตถุประสงค์ (Objectivity) คือ การตระหนักถึงความคิดเห็นและวาระที่ต้องการเป็นสิ่งสำคัญ โดยอาจจะมีคำถามเกี่ยวกับข้อมูลที่ต้องการ

วิธีการ (Method) คือ วิธีที่ใช้ในการประเมินข้อมูลหรือเนื้อหาต่าง ๆ เช่น มีการรวบรวมข้อมูลอย่างไร มีวิธีการประเมินที่เหมาะสมเข้มงวดหรือไม่

พิสูจน์หรือยืนยัน (Provenance) คือ ต้องมีการพิสูจน์ ยืนยัน หรือมีการอ้างอิงข้อมูลหรือเนื้อหาที่ทำจอกหนังสือ เว็บไซต์ หรือแหล่งอ้างอิงอื่น ๆ เพื่อให้เกิด ความน่าเชื่อถือ

ทันเหตุการณ์และเป็นปัจจุบัน (Timeliness) คือ ข้อมูลหรือเนื้อหานั้น ๆ ต้องมีความเป็นปัจจุบัน ทันเหตุการณ์อยู่เสมอ เพื่อให้เป็นข้อมูลหรือเนื้อหา ที่มีความทันสมัยมากเพียงพอ

2.4 เหตุผลวิบัติ

เหตุผลวิบัติ (Logical Fallacy) คือ การใช้เหตุผลที่ผิดพลาด ขาดความน่าเชื่อถือในการนำเสนอ อภิปราย หรือสรุปข้อมูลใด ๆ เพื่อพยายามให้ผู้อื่นเชื่อถือ ยอมรับ และสนับสนุนข้อมูลดังกล่าว ส่งผลให้ผู้รับข้อมูลเกิดความข้าใจผิด และหากนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้หรือเผยแพร่ต่ออาจทำให้ผู้รับข้อมูลรวมถึงสังคมเกิดความเข้าใจผิด โดยเหตุผลวิบัติมีชื่อเรียกอื่น ๆ เช่น ความผิดพลาดเชิงตรรกะ เหตุผลลวง ตรรกะวิบัติ ซึ่งเหตุผลวิบัติได้รับการจำแนกไว้หลายประเภท และสามารถไปประยุกต์ใช้ในการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลได้ ดังตัวอย่างต่อไปนี้

1. การสรุปด้วยความไม่รู้ (Appeal to Ignorance) คือ การแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ ร่วมกัน และบางเรื่องไม่มีใครทราบข้อมูลนั้น จนทำให้อ้างความไม่รู้เพื่อหาข้อเท็จจริงนั้น เช่น

สถานการณ์  : มีผู้ชายคนหนึ่งต้องการแวะซื้อของที่ตลาดกลางชุมชน แต่วันนั้นที่จอดรถเต็ม ชายคนดังกล่าวจึงนำรถของตนไปจอดไว้หน้าบ้านของผู้หญิงคนหนึ่ง เนื่องจากเห็นว่าเป็นพื้นที่ว่าง และคิดว่าตนเองคงจะไปซื้อของไม่นาน เมื่อผู้ชายเจ้าของรถเดินกลับมาที่รถของตนจึงพบว่า ผู้หญิงเจ้าของบ้านแจ้งให้ตำรวจมา ยกรถของตนออกไปเนื่องจากผู้หญิงเจ้าของบ้านจะขับรถออกไปข้างนอก

ปัญหาที่เกิด : ผู้ชายเจ้าของรถนำรถมาจอดขวางทางเข้า-ออกบ้านผู้อื่น ด้วยเพราะไม่ทราบว่า การจอดรถขวางทางเข้า-ออกบ้านของผู้อื่นนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ เนื่องจากจะทำให้ผู้อื่นนั้นได้รับความเดือดร้อนจากการกระทำของตน

2. การสรุปเหมารวม (Converse Accident) คือ การสรุปเหตุผลโดยเหมารวมข้อสรุป หรือข้อตกลง ต่างๆ เช่น

สถานการณ์ : นิดกับน้ำเป็นเพื่อนร่วมห้องกันซึ่งนิดเป็นคนจีนที่มีผิวขาว ดวงตาเล็กสีดำ ผมสีน้ำตาล ส่วนน้ำเป็นคนไทยที่มีลักษณะเป็นผิวสองสีดวงตาโตสีน้ำตาล ผมสีดำ ซึ่งบุคคลทั้งสองมีลักษณะแตกต่างกันอย่างชัดเจน จึงสรุปได้ว่า คนไทยจะต้องมีผิวสองสี ดวงตาโตสีน้ำตาล และผมสีดำ

ปัญหาที่เกิด : คนไทยทุกคนไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาที่เหมือนกัน เนื่องจากพันธุกรรมที่มีความแตกต่างกันมาตั้งแต่กำเนิด บางคนมีดวงตาสีน้ำตาล สีดำ หรือสีฟ้าบางคนมีผมสีน้ำตาลหรือสีดำ และบางคนมีรูปร่างสูงหรือเตี้ยลักษณะที่แตกต่างกันเหล่านี้จะขึ้นอยู่กับพันธุกรรมที่ได้มาจากพ่อแม่ จึงทำให้คนไทยมีรูปร่างลักษณะที่แตกต่างกันออกไป

การนำแนวคิดเหตุผลวิบัติมาประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลสามารถวิเคราะห์ได้ ดังนี้

การละทิ้งข้อยกเว้น

ผู้ให้ข้อมูล : เยาวชนสามารถหยุดเรียน เพื่อสร้างรายได้อย่างจริงจัง

ปัญหา : ข้อยกเว้นของการหยุดเรียนเพื่อสร้างรายได้จากสื่อสังคมออนไลน์ เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำหากไม่มีความพร้อมเพียงพอ เช่น ฐานะของครอบครัวความพร้อมเรื่องอุปกรณ์ ความรู้ความเข้าใจเรื่องการสร้างรายได้จากสื่อสังคมออนไลน์อย่างลึกซึ้ง

ผลกระทบ : เยาวชนหรือผู้ที่รับข้อมูลอาจเข้าใจผิดว่า การหยุดเรียนเพื่อมาสร้างรายได้จากสื่อสังคมออนไลน์สามารถกระทำได้ โดยไม่มีข้อยกเว้นใด ๆ

การสรุปข้อมูลด้วยความไม่รู้

ผู้ให้ข้อมูล : เยาวชนที่สนใจด้านการผลิตข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์เพื่อสร้างรายได้ควรดำเนินการอย่างจริงจัง ซึ่งสามารถหยุดหรือพักการเรียน เพื่อให้มีเวลาในการสร้างรายได้จากการสร้างเนื้อหาบนสื่อสังคมออนไลน์อย่างเต็มที่

ปัญหา : : ไม่มีข้อพิสูจน์ที่แน่ชัดว่า การหยุดเรียนเพื่อมาสร้างข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์ จะทำให้สามารถสร้างรายได้จริง

ผลกระทบ : เยาวชนหรือผู้ที่ได้รับข้อมูลอาจเข้าใจผิดว่า การหยุดเรียนเพื่อมาสร้างรายได้จากสื่อสังคมออนไลน์สามารถกระทำได้โดยไม่จำเป็นต้องศึกษาข้อมูล หรือหาข้อพิสูจน์ใด ๆ

3. การรู้เท่าทันสื่อ

ปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีบทบาทกับชีวิตมนุษย์มากขึ้น มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในหลากหลายสาขาวิชาชีพ เช่น ด้านการศึกษา ด้านธุรกิจอุตสาหกรรม ด้านการแพทย์ ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่ออำนวยความสะดวกในกระบวนการทำงาน

เมื่อการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมากขึ้น ปริมาณข้อมูลหรือปริมาณสารสนเทศต่าง ๆ ที่อยู่ในกระบวนการของการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศก็มีเพิ่มมากขึ้นด้วยอย่างทวีคูณ โดยข้อมูล หรือสารสนเทศจำนวนมหาศาลนั้นก็มีทั้งที่เป็นของส่วนบุคคล องค์กร หรือหน่วยงานต่าง ๆ และข้อมูลหรือสารสเทศนี้ก็เริ่มเข้ามามีบทบาทต่อสังคมมนุษย์มากขึ้นหรือเรียกได้ว่าเป็นยุคของสังคมสารสนเทศ (Information Age Society) เป็นยุคที่ต้องตั้งรับและตระหนักถึงความรวดเร็วของสารสนเทศ (information Exposure) เพราะข้อมูลที่รับเข้ามามีทั้งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ ดังนั้น จึงต้องมีความสามารถในการับรู้ข้อมูลข่าวสาร เลือกสรร คัดกรอง และเข้าถึงข้อมูลที่เป็นจริง ตลอดจนสามารถนำข้อมูลนั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง สังคม องค์กรหรือหน่วยงาน และประเทศชาติได้ เพื่อให้ประเทศสามารถพัฒนาไปในทางที่มีประสิทธิภาพและพัฒนาคุณภาพชีวิตในด้านต่าง ๆ ของประชาชนได้

การรู้เท่าทันสื่อสารสนเทศเป็นลักษณะของสมรรถนะที่ครอบคลุมทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการเข้าถึงสารสนเทศผ่านสื่อและเทคโนโลยีดิจิทัล การเลือกรับ วิเคราะห์ ประเมิน และนำข้อมูลที่ได้รับไปใช้ในทางสร้างสรรค์ รวมทั้งความสามารถผลิตสื่อเพื่อขับเคลื่อนสังคมได้ด้วยตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ

ในปัจจุบันเทคโนโลยีสาสนเทศทำให้การกระจายข้อมูลข่าวสารเป็นไปอย่างรวดเร็ว จึงมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมที่แตกต่างจากในอดีตซึ่งจะเห็นได้จากวิกฤตการณ์ทางด้านเศรษฐกิจจากประเทศหนึ่งมีผลกระทบต่อประเทศอื่น ๆ อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ผลของความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศทำให้แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหลายด้าน เช่น ระบบเศรษฐกิจต่าง ๆ มีความเชื่อมโยงกันทั่วโลก ทำให้ง่ายต่อการติดต่อสื่อสารได้สะดวก

3.1 องค์ประกอบของการรู้เท่าทันสื่อ

การู้เท่าทันสื่อเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรปฏิบัติในการดำเนินงานต่าง ๆ เพื่อให้ได้รับผลสำเร็จซึ่งองค์ประกอบของการรู้เท่าทันสื่อ มีดังนี้

1. ความสามารถในการเข้าถึงสื่อ (Access) คือ การได้รับสื่อประเภทต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่และรวดเร็ว สามารถรับรู้และเข้าใจเนื้อหาของสื่อประเภทนั้นตามที่ต้องการ

·     สามารถกำหนดและสื่อสารชัดเจนเกี่ยวกับความต้องการของสารสนเทศ เป็นการระบุและสื่อสารให้ชัดเจนเกี่ยวกับบทบาทและขอบเขตของสารสนเทศ รวมถึงเนื้อหาในสื่อผ่านแหล่งต่าง ๆ ที่แพร่หลาย

·     สามารถค้นหาและระบุตำแหน่งของสารสนเทศและเนื้อหาในสื่อ

·     สามารถเข้าถึงสารสนทศและเนื้อหาในสื่อที่ต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีจริยธรรม

·     สามารถเรียกหรือจัดเก็บสารสนเทศและเนื้อหาในสื่อได้โดยใช้วิธีการต่าง ๆ และ เครื่องมือที่หลากหลาย

2. ความเข้าใจการประเมินค่าสารสนทศและเนื้อหาในสื่อ (Evaluation) เป็นผลจากการวิเคราะห์สื่อที่ผ่านมาทำให้สามารถที่จะประเมินคุณภาพของเนื้อหาที่มี ซึ่งจะประเมินค่าออกมาได้ว่า มีคุณค่าต่อผู้รับสารมากน้อยเพียงใด และสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อผู้รับสารในด้านใดได้บ้าง

·     สังเคราะห์และจัดระบบสารสนเทศและเนื้อหาในสื่อได้

·     เข้าใจความจำเป็นของผู้ให้บริการสารสนเทศและเนื้อหาในสื่อที่มีต่อสังคม

·     ประเมินผลและพิสูจน์ความถูกต้องของสารสนเทศและเนื้อหาในสื่อ รวมถึงผู้ให้บริการสารสนเทศและเนื้อหาในสื่อได้

·     ประเมินค่า วิเคราะห์ เปรียบเทียบ และสื่อสารออกมา แล้วประยุกต์ใช้เกณฑ์ในการประเมินสารสนเทศและเนื้อหาในสื่อ รวมถึงผู้ให้บริการสารสนเทศ

3. การสร้าง การใช้ประโยชน์ และการเฝ้าระวังสารสนเทศและเนื้อหาในสื่อ (Creation) เป็นการสร้างสื่อในแบบฉบับของตนเองขึ้นมา เมื่อผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจสามารถวิเคราะห์ วิจารณ์ ประเมินค่าสื่อได้ และสามารถวางแผนวิเคราะห์ ออกแบบ เขียนบทและค้นคว้าเนื้อหามาประกอบได้

·     สร้างและผลิตความรู้ สารสนเทศ และเนื้อหาในสื่อ เพื่อวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่งด้วยความสร้างสรรค์และมีจริยธรรม

·     สื่อสารข้อมูลเนื้อหาในสื่อ และข้อมูลความรู้ต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพบนพื้นฐานกฎหมายและจริยธรรม โดยใช้ช่องทางและเครื่องมือที่เหมาะสม

·     เฝ้าระวังผลกระทบของสารสนเทศ เนื้อหาในสื่อ และข้อมูลความรู้ต่าง ๆ ที่ถูกสร้างและเผยแพร่ขึ้น รวมถึงผู้ใช้บริการสารสนเทศและเนื้อหาในสื่อด้วย

·     มีส่วนร่วมกับสื่อโดยการแสดงออกทางความคิดเห็นและการสนทนาระหว่างกันผ่านช่องทางที่หลากหลายบนพื้นฐานจริยธรรมอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

4. การสะท้อนคิด (Reflection) เป็นการพิจารณาการกระทำของตนเองว่า อาจมีผลกระทบหรือผลลัพธ์ต่อผู้อื่นอย่างไร ทั้งไนมิติของจริยธรรมและความรับผิดชอบ

การรู้เท่าทันสื่อยังนำไปสู่การตระหนักในสิทธิการสื่อสารของประชาชนและทำให้สามารถสื่อสารได้อย่างสร้างสรรค์ มีคุณภาพ และเกิดประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเท่ากับเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับโครงสร้างประชาธิปไตยของสังคมอีกด้วย

3.2 การรู้เท่าทันสื่อดิจิทัลและการรู้เท่าทันสื่อ

การรู้เท่าทันสื่อในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Media Literacy หมายถึง ความสามารถที่จะเข้าถึงข้อมูล วิเคราะห์สาร ประเมินสาร และสื่อความเนื้อหาสารในรูปแบบต่าง ๆ โดยผู้ที่รู้เท่าทันสื่อจะเข้าใจลักษณะรูปแบบของสื่อและความสามารถในการอธิบายความหมายของสิ่งที่พบในสื่อได้แต่ด้วยวิวัฒนาการขยายแนวคิดให้ทันสมัยตามบริบทของสังคมและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปการรับรู้ข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อดิจิทัลมีมากขึ้น จึงมีการนิยามความรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล (Digital Literacy) ที่หมายรวมถึง ความสามารถในการเข้าถึงสื่อ ความสามารถในการวิเคราะห์สื่อ ความสามารถในการแต่งหรือสร้างสื่อ และความสามารถในการสะท้อนความคิดเห็นที่มีต่อสื่อ นอกจากนี้การรู้เท่าทันสื่อยังเป็นการสร้าความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทของสื่อในสังคมและสร้างทักษะที่สำคัญในการแสดงออกได้อีกด้วย

1. การรู้เท่าทันสื่อดิจิทัล สามารถแบ่งออกได้ 8 ด้าน ดังนี้


 

2. การรู้เท่าทันสื่อ แบ่งออกเป็น 4 ระดับ ดังนี้


3.3 การใช้สื่อและปัญหาที่พบในสื่อปัจจุบัน

ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมการสื่อสารในปัจจุบันมีการพัฒนาไปอย่างมาก ทำให้สื่อสามารถเข้าถึงมนุษย์ได้อย่างกว้างขวางและรวดเร็วมากขึ้น ดังนั้น ผลกระทบของสื่อต่อผลการได้รับข้อมูล ข่าวสาร และสารสนเทศจึงมีมากตามไปด้วย ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี การมีอุปกณ์พกพา เช่น คอมพิวเตอร์ สมาร์ตโฟน แท็บเล็ต ประกอบกับการเข้าใช้งานเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้จากทุกที่ทุกเวลากับความเร็วของเครือข่าย ยิ่งทำให้สื่อมีอิทธิพลต่อบุคคลและสังคม โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่ผู้คนใช้เวลากับการท่องอยู่บนโลกออนไลน์มากขึ้น โดยเฉพาะสื่อสังคมออนไลน์ที่มีการเติบโตของผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น ซึ่งเรียกว่าเป็นปรากฏการณ์สังคมก้มหน้า ซึ่งในยุคสังคมสารนเทศการได้รับข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อที่นำเสนออยู่ตรงหน้าโดยปราศจากการคิด วิเคราะห์ ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนในการรับข้อมูลมาอย่างรวดเร็ว และแบ่งปันต่อหรือส่งต่ออย่างรวดเร็ว หากข้อมูลนั้นเป็นเท็จก็อาจจะส่งผลกระทบที่สร้างความเสื่อมเสียหรือความเสียหายต่อบุคคล องค์กร หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลนั้น โดยปัญหาเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการไม่รู้เท่าทันสื่อของคนในสังคม

ในยุคที่สื่อและเทคโนโลยีมีความก้าวหน้า ปัญหาของสื่อยิ่งมีความหลากหลายมากขึ้น ซึ่งจะสร้างปัญหาให้กับสังคมในวงกว้างขึ้นและรวดเร็วขึ้น และด้วยอำนาจและอิทธิพลของสื่อในหลายช่องทางเพื่อการแสวงหาผลประโยชน์ขององค์กรต่าง ๆ ปัญหาที่เกิดจากสื่อก่อให้เกิดปัญหาสังคมต่าง ๆ ตามมา โดยเราจะเห็นได้ว่า ในปัจจุบันหลายปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม สื่อเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดปัญหานั้น เห็นได้จากข่าวที่ปรากฏในสังคม เช่น ข่าวความรุนแรง ซึ่งจะนำไปสู่การเลียนแบบพฤติกรรมก้าวร้าว ปัญหาความรุนแรงในสังคมจึงเป็นแนวคิดในการควบคุมสื่อในรูปแบบของการออกกฎหมายมาใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุม แต่ทั้งนี้จะโทษสื่ออย่างเดียวไม่ได้ ผู้รับสื่อก็ควรที่จะได้เรียนรู้ ได้ศึกษาเรื่องสื่อหรือการรู้เท่าทันสื่อ เพื่อเป็นเครื่องมือในการป้องกันและแก้ปัญหาอิทธิพลและผลกระทบทางลบของสื่อ

3.4 ผลกระทบของข้อมูลที่ผิดพลาด

ในปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศและข่าวสารต่าง ๆ เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของมนุษย์มากขึ้น สิ่งที่ต้องทำเมื่อได้รับข้อมูลมาจากแหล่งต่างๆ คือ การวิเคราะห์ว่าสิ่งที่เผยแพร่ในสื่อออนไลน์เป็นข้อมูลที่เป็นจริงหรือไม่ โดยจะขึ้นอยู่กับความรู้และประสบการณ์ของแต่ละคนซึ่งผลกระทบของข้อมูลที่ผิดพลาด มีดังนี้

1. การละเมิดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างไม่มีขีดจำกัดย่อมส่งผลต่อการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล การนำเอาข้อมูลบางอย่างที่เกี่ยวกับบุคคลออกไปเผยแพร่ต่อสาธารณชน ซึ่งข้อมูลบางอย่างอาจไม่เป็นจริงหรือยังไม่ได้พิสูจน์ความถูกต้อง และอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลโดยไม่สามารถป้องกันตนเองได้

2. เมื่อแชร์ข้อมูลต่าง ๆ ลงบนอินเทอร์เน็ต อาจจะทำให้ผู้แชร์ข้อมูลถูกโจรกรรมข้อมูลส่วนตัวจนเกิดเป็นอาชญากรรมบนเครือข่าย ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศก่อให้เกิดปัญหาใหม่ขึ้น เช่น อาชญากรรมในรูปของการขโมยความลับ การขโมยข้อมูลสารสนเทศ การให้บริการสารสนเทศที่มีกรหลอกลวง รวมถึงการทำลายข้อมูลที่มีอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ในระบบเครือข่าย

3. การได้รับข้อมูลที่ผิดพลาดนั้น อาจจะส่งผลต่อผู้ที่เกี่ยวข้องที่ไม่ได้มีความผิดแต่ถูกกล่าวอ้างหรืทำให้ได้รับความเสียหายจนทำให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพ อาจส่งผลถึงสภาพจิตใจและมีโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ รุมเร้า จนทำให้สุขภาพร่างกายทรุดโทรม

4. การแชร์ข้อมูลที่เป็นเท็จลงในโลกออนไลน์ที่ทุกคนสามารถเห็นนั้น อาจจะทำให้ผู้ที่แชร์ข้อมูลที่เป็นเท็จถูกดำเนินคดี โดยผิดกฎหมายตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

ผลกระทบจากการได้รับข้อมูลที่ผิดพลาด

หากไม่ตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเนื้อหาข้อมูลดังกล่าวมีความน่าเชื่อถือหรือไม่ อาจส่งผลกระทบได้ ดังนี้

1. การถูกโจรกรรมข้อมูลสำคัญ เช่น ข้อมูลบัญชีธนาคาร ข้อมูลรหัสผ่านต่างๆ หรือหากเป็นเนื้อหาประเภท Phishing ซึ่งเป็น โดยใช้ข้อมูลส่วนตัวเทคนิคการหลอกลวงโดยใช้จิตวิทยาผ่านระบบคอมพิวเตอร์ มักจะมาในรูปของอีเมล หรือเว็บไซต์เพื่อหลอกลวงให้ผู้หลงเชื่อเผยข้อมูลอันเป็นความลับต่าง ๆ

2. การถูกโจมตีโดยซอฟต์แวร์ที่มุ่งประสงค์ร้ายจากผู้ไม่หวังดี อาจส่งผลถึงสภาพจิตใจของผู้ใช้งาน ทำให้เกิดภาวะเครียดจนเสียสุขภาพได้

3. การถูกล่อลวงด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จต่าง ๆ เช่น เมื่อคลิกลิงก์เข้าเว็บไซต์แล้วอาจจะนำไปสู่การเปิดเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลอันเป็นเท็จ ข้อมูลละเมิดลิขสิทธิ์ หรือข้อมูลที่ละเมิดศีลธรรม

สรุปความน่าเชื่อถือของข้อมูล

การสืบค้นเพื่อหาแหล่งข้อมูลสารสนเทศ

การสืบค้นแหล่งข้อมูล คือ กระบวนการค้นหาข้อมูลที่ต้องการ โดยใช้เครื่องมือต่าง ๆ เช่น คอมพิวเตอร์ โดยการสืบค้นเพื่อหาแหล่งข้อมูลแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

1. กรสืบค้นข้อมูลด้วยมือ คือ การสืบค้นข้อมูลด้วยเอกสาร หนังสือ ตำรา โดยสามารถสืบค้นจากสถานที่หรือหน่วยงานที่จัดเตรียมข้อมูลต่าง ๆ ไว้ เช่น ห้องสมุดในโรงเรียน เอกสารแผ่นพับแนะนำข้อมูลด้านสุขภาพในโรงพยาบาล

2. การสืบค้นข้อมูลด้วยระบบคอมพิวเตอร์ คือ การสืบค้นข้อมูลผ่านเทคโนโลยีหรืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เช่น การสืบค้นข้อมูลจกระบบฐานข้อมูล ข้อมูลออนไลน์ ข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตข้อมูลจาก Search Engine

การประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล

เป็นขั้นตอนในการประเมินเพื่อคัดเลือกข้อมูลที่ได้จากการสืบค้นข้อมูลที่มีคุณค่า มีความน่าเชื่อถือในทางวิชาการ เป็นการพิจารณาคัดเลือกจากแหล่งข้อมูลต่างๆ ซึ่งจากการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลจะทำให้เราได้ข้อมูลที่มีคุณค่าและนำข้อมูลไปประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสมซึ่งหลักการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล มีดังนี้

·       ประเมินความตรงตามความต้องการของข้อมูล

·       ประเมินความนเชื่อถือและความทันสมัยของข้อมูล

·       ประเมินระดับเนื้อหาของข้อมูล

การรู้เท่าทันสื่อ

เป็นสิ่งจำเป็นที่ควรปฏิบัติในการดำเนินงานต่าง ๆ เพื่อให้ได้รับผลสำเร็จลุล่วง ซึ่งองค์ประกอบของการรู้เท่าทันสื่อ มีดังนี้

ความสามารถในการเข้าถึงสื่อ

·       ความเข้าใจการประเมินสารสนเทศและเนื้อหาในสื่อ

·       การสร้าง การใช้ประโยชน์ และการเฝ้าระวังสารสนเทศและเนื้อหา

·       การสะท้อนคิด


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คำอธิบายรายวิชา            ศึกษาเกี่ยวกับการจัดการข้อมูลและสารสารเทศ การใช้ซอฟต์แวร์ในการจัดการข้อมูลและสารสนเทศ ศึกษาเกี่ยวกับการป...