บทที่ 4 แอปพลิเคชัน

หน่วยที่ 4 แอปพลิเคชัน

เทคโนโลยี IoT

อินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง (Internet of Things) เป็นแนวคิดการทำให้อุปกรณ์หลากหลายชนิด เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เซ็นเซอร์ เชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ ทำให้อุปกรณ์เหล่านี้เก็บบันทึกข้อมูลติดต่อสื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูล และทำงานร่วมกันได้อย่างอัตโนมัติ อีกทั้งยังส่งผลให้มนุษย์ควบคุมอุปกรณ์ดังกล่าวนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งยังสามารถเข้าถึงข้อมูลจากอุปกรณ์การใช้งานได้หลากหลายขึ้น เพื่อนำไปใช้ประโยชน์หรือวิเคราะห์ข้อมูลในด้านต่างๆ ได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ

อินเทอร์เน็ตในทุกสิ่งถูกคิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1999 โดย เดวิน แอชตัน (Kevin Ashton) ที่ได้รับการขนานนามว่า เป็นบิดาแห่ง Intenet of Thigs โดยแนวคิดของ IoT นั้นถูกคิดค้นภายใต้โครงการ Auto-ID Center ที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts Institute of Technology: MIT) ซึ่งโครงการดังกล่าวให้อุปกรณ์ RFID Sensors ต่าง ๆ เชื่อมต่อกันได้โดยแอชตันได้นิยามความหมายของคำว่า Internet of Things ว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใด ๆ ก็ตามที่สื่อสารกันได้ก็ถือเป็น Internet-like หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่สื่อสารแบบเดียวกันกับระบบอินเทอร์เน็ตนั้น โดยใช้คำว่า Things แทนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการเชื่อมต่อ

1.1 องค์ประกอบของเทคโนโลยี IOT

เทคโนโลยี IT ในปัจจุบันประกอบด้วยองค์ประกอบที่ทำงานประสานกัน 3 ส่วน ดังนี้

Smart Device

เป็นอุปกรณ์ชาญฉลาดหรืออุปกรณ์ที่มีส่วนประกอบของหน่วยประมวลผล เช่น ไมโครโพรเซสเซอร์ (Microprocessor) เซ็นเซอร์ (Sensor) อุปกรณ์สื่อสาร (Communication Device) อยู่ภายใน เพื่อใช้สำหรับแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่าง Smart Device และระบบแม่ข่ายในการประมวลผล เช่น แผงวงจรไมโครโพรเซสเซอร์ที่ติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจจับอุณหภูมิ

Cloud Computing หรือ Wireless Network

เป็นสื่อกลางในการรับ-ส่งข้อมูล หรือเป็นหน่วยประมวลผลกลางที่รับข้อมูลจาก Smart Device แล้วส่งต่อไปยังผู้ใช้งาน ซึ่งมีทั้งการส่งข้อมูลผ่านระบบ Wireless ไปยังผู้ใช้และการส่งผ่าน Cloud Computer ซึ่งการส่งข้อมูลผ่าน Cloud จะช่วยรองรับการใช้งาน Smart Device จำนวนมากกว่าและระยะทางไกลกว่าระบบ Wireless

Dashboard

เป็นส่วนที่ใช้แสดงผลและควบคุมการทำงานของผู้ใช้ โดยอาจอยู่ในรูปแบบของอุปกรณ์หรือแอปพลิเคชันในคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ โดยผู้ใช้สามารถดูข้อมูลที่ Smart Device ส่งมาหรือตรวจสอบสถานะของอุปกรณ์และระบบ รวมถึงถ่ายทอดคำสั่งใหม่ไปยัง Smart Device ได้จากส่วนนี้

1.2 ตัวอย่างอุปกรณ์สำหรับเทคโนโลยี IOT

อุปกรณ์ที่สามารถมาใช้สำหรับเทคโนโลยี IoT สมารถเลือกใช้งานได้หลากหลายประเภทดังนี้

1. เซ็นเซอร์ (Sensor) เป็นชุดอุปกรณ์ วงจร หรือระบบที่ทำหน้าที่ตรวจวัดการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติ หรือลักษณะของสิ่งต่าง ๆ โดยรอบวัตถุเป้าหมาย เช่น เซ็นเซอร์ตรวจจับความเค (G-sensor) เซ็นเซอตรวจวัดระดับเสียง (Sound Sensor) เซ็นเซอร์ตรวจจับแสงสว่าง (Light Sensor) เซ็นเซอร์วัดระยะทาง (Ultrasonic Sensor)

2. คอมพิวเตอร์แบบฝัง (Embedded Computer) เป็นอุปกรณ์ที่สามารถติดตั้งระบบปฏิบัติการได้ เปรียบเสมือนกับเป็นคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก เป็นอุปกรณ์ที่มีส่วนของการติดต่อผู้ใช้งานส่วนของการควบคุมและผสานการทำงนของฮาร์ดแวร์ต่าง ๆ อีกทั้งยังสามารถพัฒนาซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมต่าง ๆ ที่ติดตั้งลงไปได้ รวมถึงการต่อเข้ากับฮาร์ดแวร์ต่าง ๆ ทั้งอุปกรณ์ไมโครคอนโทรลเลอร์ หรืออุปกรณ์เซ็นเซอร์ เช่น Raspberry Pi, Orange Pi, Banana Pi

3. ไมโครคอนโทรลเลอร์ (Microcontroller) เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เปรียบเสมือนคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก คล้ายคลึงกับคอมพิวเตอร์แบบฝังแต่ไม่มีระบบปฏิบัติการ สามารถป้อนชุดคำสั่งให้ปฏิบัติงานได้อย่างอัตโนมัติด้วยการเขียนโปรแกรมภาษาต่าง ๆ ลงบนไมโครคอนโทรลเลอร์ อีกทั้งยังมีความสามารถในการติดต่อและควบคุมการทำงานของฮาร์ดแวร์อื่น ๆ ได้อีกด้วย เช่น Arduino, NodeMCU, Micro:bit, MicroPython, Kidbright

1.3 ข้อดี-ข้อเสียของเทคโนโลยี IoT

การนำเทคโนโลยี IoT ไปใช้งานในด้านต่าง ๆ มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ดังนี้

ข้อดี

1. ช่วยอำนวยความสะดวกสบายในการทำงานและการดำเนินชีวิต

2. เพิ่มความสะดวกรวดเร็วและประสิทธิภาพในการทำงาน ทำให้สามารถทำงานไดอย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และแม่นยำขึ้นได้

3. ช่วยลดต้นทุนในด้านต่าง ๆ เช่น ต้นทุนในการจ้างแรงงาน ต้นทุนในการผลิต

ข้อเสีย

1. IoT เป็นการทำงานด้วยระบบอินเทอร์เน็ตหากไม่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ จะทำให้ IoT ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ

2. อุปกรณ์ถูกเชื่อมโยงกันด้วยเครือข่ายเดียวกัน ทำให้ต้องบำรุงและรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและซอฟต์แวร์อยู่เสมอ

3. หากมีอุปกรณ์ตัวใดตัวหนึ่งประมวลผลผิดพลาด อาจส่งผลให้อุปกรณ์อื่นๆ ทีเชื่อมต่ออยู่ด้วยประมวลผลผิดพลาดด้วยเช่นกัน

1.4 ตัวอย่างการนำเทคโนโลยี IoT มาใช้งาน

ในปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งาน โดยตัวอย่างของเทคโนโลยีที่สามารถนำมาใช้จริงได้ มีดังนี้

1. บ้านอัจฉริยะ (Smat Home) เป็นการใช้เทคโนโลยี IoT เพื่อรวมการเชื่อมต่อของเครื่องใช้ไฟฟ้า การบริการ การตรวจตรดูแล รวมทั้งสามารถเข้าถึงการควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ โดยควบคุมได้ทั้งจากภายในบ้านเองหรือควบคุมจากภายนอกก็ได้ โครงสร้างของ Smart Home จะต้องประกอบไปด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่ ส่วนแรกคืออุปกรณ์ Smart Device ที่ใช้สำหรับเชื่อมโยงเข้ากับส่วนที่สอง คือ เครือข่าย (Smart Home Network) และส่วนที่สาม คือ ส่วนควบคุมหลักที่เปรียบเสมือนสมองของบ้าน ซึ่งสามารถเชียนโปรแกรมให้บ้านทำงานตามต้องการได้

2. รถยนต์อัจฉริยะ (Smart Car) เป็นรถยนต์ที่มีการติดตั้งระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตแบบไร้สาย ซึ่งจะช่วยให้รถยนต์สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และแบ่งปันอินเทอร์เน็ตให้กับอุปกรณ์อื่นๆ ที่อยู่ภายในและภายนอกรถยนต์ได้แนวคิดของรถยนต์อัจฉริยะมีการติดตั้งเทคโนโลยีพิเศษที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ขับรถทั้งในด้านความปลอดภัยและความสะดวกสบาย โดยมีการเพิ่มเติมในเรื่องของการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ส่งผลให้รถยนต์สามารถติดต่อสื่อสารกับสิ่งอื่น ๆ ได้เองโดยอัตโนมัติ เช่น การสั่งการด้วยเสียงการประมวลผลแผนที่ที่ใช้ในการเดินทางการขับเคลื่อนโดยไร้คนขับ

3. ระบบฟาร์มอัจฉริยะ (Smart Farm) เป็นระบบที่ช่วยส่งเสริมและควบคุมให้การปฏิบัติงานทางการเกษตรมีความแม่นยำและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น โดยแนวคิดของระบบฟาร์มอัจฉริยะนี้ได้นำเซ็นเซอร์ชนิดต่าง ๆ เช่น เซ็นเซอร์วัดแสง เซ็นเซอร์วัดอุณหภูมิเซ็นเซอร์วัดความชื้นในดิน ระบบควบคุมหุ่นยนต์ เทคโนโลยีการให้ปุ๋ย น้ำ และยากำจัดแมลงศัตรูพืช และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงมาช่วยในการจัดการกับแปลงเพาะปลูก ทำให้สามารถปลูกพืชได้ตามต้องการแม้ในสภาพอากาศที่แปรปรวนเนื่องจากมีการวัดและควบคุมอัตราของสิ่งต่าง ๆ ที่พืชต้องใช้ในการเจริญเติบโต

การพัฒนาแอปพลิเคชัน

แอปพลิเคชัน เป็นโปรแกรมที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ มีการออกแบบมาเพื่อใช้งานในหลายรูปแบบ ถ้าเป็นแอปพลิเคชันสำหรับใช้งานบนคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะหรือโน้ตบุ๊กเรียกว่า เดสก์ท็อปแอปพลิเคชัน (Desktop Applications) แต่ถ้าใช้งานบนโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต หรืออุปกรณ์พกพาต่าง ๆ จะเรียกว่า โมไบล์แอปพลิเคชั่น (Mobile Applications) โดยแอปพลิเคชันแบ่งได้ 2 ประเภท ดังนี้

1. แอปพลิเคชันระบบ เป็นส่วนของซอฟต์แวร์พื้นฐานหรือระบบปฏิบัติการ (Operating system) ที่เป็นตัวรองรับการใช้งานของแอปพลิเคชันอื่นหรือโปรแกรมต่าง ๆ ที่ติดตั้งอยู่ภายในอุปกรณ์เทคโนโลยี โดยในปัจจุบันระบบปฏิบัติการที่ได้รับความนิยม เช่น ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (ios) ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ (Windows) ระบบปฏิบัติการแมค (MacOS)

2. แอปพลิเคชันที่ตอบสนองความต้องการของกลุ่มผู้ใช้ เป็นส่วนของโปรแกรมประยุกต์ที่ทำงานภายใต้ระบบปฏิบัติการมีวัตถุประสงค์เฉพาะอย่าง เช่น เพื่อการศึกษา เพื่อความบันเทิง เพื่อการติดต่อสื่อสาร โดยแอปพลิเคชันประเภทนี้สามารถแบ่งออกได้หลายกลุ่ม เช่น แอปพลิเคชันกลุ่มเกม แอปพลิเคชันกลุ่มเครือข่ายสังคมออนไลน์ แอปพลิเคชันกลุ่มมัลติมีเดีย

ในปัจจุบันการใช้งนแอปพลิเคชันได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก จึงทำให้นักพัฒนาได้พัฒนาแอปพลิเคชันที่สมารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ในหลายด้าน เช่น

1. แอปพลิเคชันด้านการศึกษา เป็นแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้นมา เพื่อใช้จัดการห้องเรียนให้มีความสนุกสนาน และช่วยเพิ่มปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอนมากยิ่งขึ้นอีกทั้งบางแอปพลิเคชันยังช่วยตรวจสอบการมาโรงเรียนของนักเรียนได้ด้วย เช่น แอปพลิเคชัน Kahoot!, Plickers, ClassDojo

2. แอปพลิเคชันด้านสาธารณสุข เป็นแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้นมา เพื่อช่วยดูแลและจัดการด้านต่าง ๆเกี่ยวกับสุขภาพ ทั้งเรื่องการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย การป้องกันและรักษาโรค การค้นหาโรงพยาบาล ซึ่งในประเทศไทย กระทรวงสาธารณสุขได้พัฒนาแอปพลิเคชันต่าง ๆ ขึ้นมากมาย เช่น แอปพลิเคชัน H4U, DoctorME, Thai First Aid, EMSCertified

3. แอปพลิเคชันด้านความบันเทิง เป็นแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้นมา เพื่อใช้สร้างความบันเทิง ผ่อนคลายความเครียดของผู้ใช้งานในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของแอปพลิเคชันเกม แอปพลิเคชันดูหนัง ฟังเพลง เช่น แอปพลิเคชัน JOOX Music, YouTube, Vine

2.1 ขั้นตอนการพัฒนาแอปพลิเคชัน

ในปัจจุบันการนำแอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่พัฒนาขึ้นไปใช้ในกระบวนการทำงานต่าง ๆ ในองค์กรหรือหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน หรือแม้กระทั่งการนำไปใช้ร่วมกับกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ ของมนุษย์ โดยรูปแบบความต้องการในการใช้งานของแอปพลิเคชันก็มีมากขึ้น ทั้งโมไบล์แอปพลิเคชัน (Mobile Application) เว็บแอปพลิเคชัน (Web Application) เดสก์ท็อปแอปพลิเคชัน (Desktop Application) เกม

(Game) และอินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง (Internet of Things) รวมถึงการใช้งานนวัตกรรมทางเทคโนโลยีมาร่วมกับการใช้งานแอปพลิเคชัน เช่น เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (Augmented Reality: AR) เทคโนโลยีความจริงเสมือน (Virtual Reality: VR) ดังนั้น การพัฒนาแอปพลิเคชันจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ควรเรียนรู้โดยการพัฒนาแอปพลิเคชัน มี 7 ขั้นตอน ดังนี้

1. กำหนดปัญหา

2. ศึกษาความเป็นไปได้

3. วิเคราะห์ความต้องการแอปพลิเคชัน

4. ออกแบบแอปพลิเคชัน

5. พัฒนาแอปพลิเคชัน

6. ทดสอบแอปพลิเคชัน

7. จัดทำเอกสาร

1. กำหนดปัญหา (Problem Deinition) การกำหนดปัญหาเป็นขั้นตอนการกำหนดขอบเขตของปัญหา สาเหตุของปัญหาจากการดำเนินงานในปัจจุบัน ความเป็นไปได้ในการสร้างแอปพลิเคชัน การกำหนดความต้องการระหว่างผู้พัฒนากับผู้ใช้งาน โดยข้อมูลเหล่านี้ได้จากการสัมภาษณ์และการรวบรวมข้อมูลจากการดำเนินงานต่าง ๆ เพื่อทำการสรุปเป็นข้อกำหนด (Requirement Specification) ที่ชัดเจน ในขั้นตอนนี้หากเป็นการพัฒนาแอปพลิเคชันที่มีขนาดใหญ่ มีฟังก็ชันการทำงานมากและซับซ้อน อาจเรียกขั้นตอนนี้ว่า ขั้นตอน

การศึกษาความเป็นไปได้ โดยการกำหนดปัญหาสามารถปฏิบัติได้ ดังนี้

1) รับรู้สภาพปัญหาที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงาน

2) สรุปหาสาเหตุของปัญหาและสรุปผลเพื่อพิจารณา

3) ศึกษาความเป็นไปได้ในมุมต่าง ๆ เช่น ด้านต้นทุน ด้านทรัพยากร

4) รวบรวมความต้องการจากผู้ที่เกี่ยวข้องด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การรวบรวมเอกสาร การสัมภาษณ์ การสังเกต การใช้แบบสอบถาม

5) สรุปความต้องการและข้อกำหนดของผู้พัฒนาและผู้ให้ทำการพัฒนาแอปพลิเคชัน

2. ศึกษาความป็นไปได้ (Feasibility Study) การศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาแอปพลิเคชันว่า แอปพลิเคชันนั้นจะบรรลุผลสำเร็จได้หรือไม่ โดยการศึกษาความเป็นไปได้ สามารถปฏิบัติได้ ดังนี้

1) กำหนดว่าปัญหาคืออะไร และตัดสินใจว่าจะพัฒนาแอปพลิเคชันนั้นหรือไม่

2) มีความเป็นไปได้ในการพัฒนาทางเทคนิดหรือไม่

3) มีความเป็นไปได้ทางบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาว่ามีความพร้อม มีความรู้และมีเวลาที่จะพัฒนาหรือไม่

4) มีความเป็นไปได้ทางเศรษฐศาสตร์หรือไม่ เช่น เงินลงทุน ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตลอดช่วงเวลาในการพัฒนแอปพลิเคชัน

3. วิเคราะห์ความต้องการแอปพลิเคชัน (Analyzing Application Needs) เป็นการวิเคราะห์ว่า แอปพลิเคชันที่จะพัฒนานั้นทำงานอย่างไร โดยการวิเคราะห์ความต้องการของแอปพลิเคชันสามารถปฏิบัติได้ ดังนี้

1) ศึกษาการทำงานเดิมว่าทำงานอย่างไร (ถ้ามี)

2) กำหนดความต้องการของแอปพลิเคชัน

3) วิเคราะห์และออกแบบ โดยศึกษาเอกสารที่มีอยู่และศึกษากระบวนการทำงานเดิม (ถ้ามี) เพื่อให้เข้าใจขั้นตอนการทำงาน

4) เขียนแผนภาพการทำงานของกระบวนการทำงานเดิม และกระบวนการทำงานใหม่ที่มีการนำแอปพลิเคชันเข้าไปใช้งาน

5) สร้างข้อมูลของตัวแอปพลิเคชัน

4. ออกแบบแอปพลิเคชัน (Designing the Applications) การออกแบบแอปพลิเคชันเป็นการออกแบบการทำงานและความสัมพันธ์ระหว่างแอปพลิเคชันและส่วนที่ใช้ติดต่อกับผู้ใช้งาน โดยจะต้องออกแบบให้ผู้ใช้งานใช้งานได้สะดวกสบายที่สุด ไม่ยุ่งยากซับซ้อน โดยการออกแบบแอปพลิเคชันสามารถปฏิบัติได้ ดังนี้

1) ออกแบบโครงสร้างการทำงานของแอปพลิเคชัน

2) ออกแบบโครงสร้างของข้อมูลที่ใช้ในแอปพลิเคชัน

3) ออกแบบส่วนติดต่อผู้ใช้งาน

4) ออกแบบรายงาน

5. พัฒนาแอปพลิเคชัน (Developing) การพัฒนาแอปพลิเคชันเป็นการลงมือเขียนโปรแกรมคำสั่งที่จะใช้พัฒนาแอปพลิเคชันด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ที่รองรับ เช่น Python, C, Java โดยการพัฒนาแอปพลิเคชันสามารถปฏิบัติได้ ดังนี้

1) เขียนชุดคำสั่งโปรแกรม

2) คอมไพล์ชุดคำสั่งโปรแกรม

3) ทดสอบการทำงานของแอปพลิเคชัน

6. ทดสอบแอปพลิเคชัน (Testing and Maintaining the System) เป็นการทดสอบการทำงานของแอปพลิเคชัน ซึ่งสามารถปฏิบัติได้ ดังนี้

1) ทดสอบการทำงานของแอปพลิเคชันโดยผู้ทดสอบระบบ ซึ่งจะทดสอบการทำงานของแต่ละฟังก์ชันว่า มีการทำงานถูกต้องและเป็นไปตามความต้องการของผู้ใช้งานหรือไม่ ถ้าพบข้อผิดพลาดให้แก้ไขให้ถูกต้อง

2) ทดสอบโดยผู้ใช้งานจริง ถ้าพบข้อผิดพลาดให้ส่งกลับไปให้นักพัฒนาแอปพลิเคชันปรับปรุงแก้ไข

7. จัดทำเอกสาร (Documenting) เป็นการจัดทำเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานแอปพลิเคชัน ซึ่งสามารถปฏิบัติได้ ดังนี้

1) จัดทำคู่มือการติดตั้งแอปพลิเคชัน

2) จัดทำคู่มือการใช้งานแอปพลิเคชัน

2.2 ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการพัฒนาแอปพลิเคชัน

ในปัจจุบันมีแอปพลิเคชันต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย โดยแต่ละแอปพลิเคชันจะถูกสร้างหรือพัฒนาขึ้นด้วยภาษาโปรแกรมต่าง ๆ ทั้งที่อยู่ในรูปแบบของการเขียนชุดคำสั่งโดยการพิมพ์คำสั่งแต่ละคำสั่งโดยใช้แป้นพิมพ์ เช่น โปรแกรมภาษาไพทอน (Python) ภาษาจาวา (Java) ภาษาซี (C) หรือในรูปแบบบล็อกคำสั่ง โดยใช้วิธีการลากบล็อกคำสั่งไปต่อในส่วนที่ต้องการ เช่น โปรแกรมภาษา Scratch, Blockly, Snap โดยในที่นี้จะเลือกใช้โปรแกรมภาษาไพทอน

โปรแกรมภาษาไพทอน ถือว่าเป็นโปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูงที่ออกแบบมาให้เป็นภาษาสคริปต์ที่สามารถอ่านง่าย โดยตัดความซับซ้อนของโครงสร้างและไวยากรณ์ของภาษาออกไปและมีการทำงานแบบอินเทอร์พรีเตอร์ ซึ่งเป็นการแปลชุดคำสั่งทีละบรรทัด เพื่อป้อนเข้าสู่หน่วยประมวลผลให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามที่เราต้องการ

จุดเด่นของภาษาไพทอน

-          ไวยากรณ์ที่เขียนอ่านง่าย

-          มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากภาษาไพทอนทำงานอยู่ในด้าน Server เป็นหลัก

-          ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อโปรแกรมต้นฉบับ

-          โคดที่เขียนด้วยภาษาไพทอนนำไปดำเนินงานบนระบบปฏิบัติการได้หลากหลาย

จุดด้อยของภาษาไพทอน

-          การทำงานของโปรแกรมผ่านอินเทอร์พรีเตอร์จะช้ากว่าการทำงานจากโปรแกรมที่ผ่านการแปลโปรแกรมเป็นภาษาเครื่องแล้ว เพราะอินเทอร์พรีเตอร์จะต้องแปลแต่ละคำสั่งในระหว่างการทำงานว่าจะต้องทำอะไรในขั้นตอนต่อไป

ในปัจจุบันมีการพัฒนาแอปพลิเคชันด้วยโปรแกรมภาษาไพทอนจำนวนมาก เพราะเป็นภาษาที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน ตัวอย่างโปรแกรมการพัฒนาแอปพลิเคชันด้วยโปรแกรมภาษาไพทอน มีดังนี้

1. โปรแกรมคำนวณหาอัตรแลกเปลี่ยนเงินบาทไทย (THB) เป็นเงินดอลลาร์ (USD) โปรแกรมภาษาไพทอน คำนวณหาอัตรแลกเปลี่ยนเงินบาทไทยเป็นเงินดอลลาร์ โดยการรับค่าเงินบาทไทยที่ต้องการคำนวณป็นเงินดอลลร์ และอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทไทยต่อ 1 ดอลลาร์ทางแป้นพิมพ์ แล้วแสดงผลเงินดอลลาร์ที่คำนวณได้ทางหน้าจอ เพื่อให้โปรแกรมแสดงผล ดังนี้

==========================

คำนวณอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทไทยเป็นเงินดอลลาร์

==========================

ป้อนอัตราแลกเปลี่ยนงินบาทไทยต่อ 1 ดอลลาร์ : <<input>>

ป้อนจำนวนเงินบาทไทย : <<input>>

==========================

คำนวณเป็นเงินดอลลาร์ได้ : <<output>> คอลลาร์

==========================

ภาษาธรรมชาติ (Natural Language)

1. เริ่มทำงาน

2. นำเข้าข้อมูล อัตราแลกเปลี่ยน

3. นำเข้าข้อมูล เงินบาทไทย

4. คำนวณ เงินดอลลาร์ = เงินบาทไทย / อัตราแลกเปลี่ยน

5. แสดงผล เงินดอลลาร์

6. จบการทำงาน

รหัสลำลอง (Pseudo Code)

1. START

2. INPUT rate

3. INPUT baht

4. COMPUTE dollar = baht/rate

5. OUTPUT dollar

6. STOP

สรุป

เทคโนโลยี IoT

IoT หรือ Internet of Things เป็นแนวคิดการทำให้อุปกรณ์หลากหลายชนิด สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์เคลื่อนที่ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เซ็นเซอร์ อุปกรณ์เหล่านี้สามารถเก็บบันทึกข้อมูล ติดต่อสื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูล และทำงานร่วมกันได้อย่างอัตโนติ ส่งผลให้มนุษย์สามารถควบคุมอุปกรณ์ดังกล่าวนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และสามารถเข้าถึงข้อมูลจากอุปกรณ์ได้หลากหลาย เพื่อนำไปใช้ประโยชน์หรือวิเคราะห์ข้อมูลในด้านต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ

IoT ประกอบด้วยส่วนที่ทำงานประสานกัน 3 ส่วน คือ

1. Smart Device

2. Cloud Computing หรือ Wireless Network

3. Dashboard

การพัฒนาแอปพลิเคชัน

แอปพลิเคชันเป็นโปรแกรมที่ถูกพัฒนขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ ซึ่งออกแบบมาเพื่อใช้งานหลายรูปแบบ ทั้งเดสก์ท็อปแอปพลิเคชันและโมไบล์แอปพลิเคชัน โดยในการพัฒนาแอปพลิเคชันจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอน 7 ขั้นตอน ดังนี้

1. กำหนดปัญหา

2. ศึกษาความเป็นไปได้

3. วิเคราะห์ความต้องการแอปพลิเคชัน

4. ออกแบบแอปพลิเคชัน

5. พัฒนาแอปพลิเคชัน

6. ทดสอบแอปพลิเคชัน

7. จัดทำเอกสาร

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

คำอธิบายรายวิชา            ศึกษาเกี่ยวกับการจัดการข้อมูลและสารสารเทศ การใช้ซอฟต์แวร์ในการจัดการข้อมูลและสารสนเทศ ศึกษาเกี่ยวกับการป...